วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดูหนังยังไงให้พูดภาษาอังกฤษได้

ดูหนังยังไงให้พูดภาษาอังกฤษได้

การดูหนังฝรั่งบ่อยๆทำให้เก่งภาษาอังกฤษจริงหรือ คนส่วนใหญ่ดูหนังแบบผิดวิธี ดูมาทั้งชีวิตไม่เก่งขึ้นเลย เป็นเพราะสิ่งที่คนไทยดูส่วนใหญ่ คือดูหนังฝรั่งจริงแต่ดูซับไทยไปด้วย ทำให้ตั้งใจอ่านซับมากกว่าตั้งใจฟัง สุดท้ายการดูหนังแบบนี้ถ้าเพื่อความบันเทิงไม่มีปัญหา
ไร แต่ถ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษด้วย วิธีนี้ถือว่าด้อยมาก เพราะสุดท้ายเอาเข้าจริงกลายเป็นว่าเราได้ฟังเขาพูดแบตั้งใจจริงๆน้อนมาก จนบางครั้งอาจจะไม่ได้ฟังเลยแค่ได้ยินผ่านหูไป เพราะใจไปโฟกัสกับการอ่านซับทำให่ไม่ได้สนใจสิ่งอื่น
                จะฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้นต่อไปต้องดูแบบซับอังกฤษใช่หรือไม่ คำตอบคือดีขึ้นมาหน่อยแต่ก็ง่อยเหมือนกัน เพราะหัวใจของการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนังคือฝึกฟัง ฝึกโดยดูประกอบกับเรื่องราวตามเนื้อเรื่อง ถ้าฝึกฟังและดูมากพอจะสามารถเข้าใจหความหมายword , phrases หรือ sentences เป็นแบบภาพอัตโนมัติ โดยไม่ต้องแปลความหมายเป็นภาษาไทยด้วยซ้ำ ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนรู้คำศัพท์ตามระบบของ Mind English อย่างพอดี แต่การดูหนังแบบ Sub Eng ก็ไม่ตอบโจทย์ เพราะสุดท้ายภาพที่เกิดขึ้นจริงคือ เรามัวแต่การจดจ้องกับซับ พยายามอ่านและแปลให้ทันเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่องสุดท้ายที่จะได้ฝึกฟัง กลายเป็นฝึกอ่านไป แต่ก็ยังดีที่ได้ฝึกภาษาอังกฤษเพิ่ม  ทำให้อ่านเก่งและไวขึ้น แต่ในแง่การฟัง-พูดก็ยังไม่ตอบโจทย์ สุดท้ายดูหนังจนตาเป็นต้อ ยังไงสุดท้ายก็ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ดี
                การดูหนังเพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้มีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ
-                   แบบแรก คือ แบบเบาๆคือดูหนังปกติดูเพื่อความเพลิดเพลินเป็นหลัก แต่ขอฝึกภาษาอังกฤษเป็น
น้ำจิ้มด้วย ถ้าดูหนังแบบนี้เวลาดูฝรั่ง Soundtrack ซับไทย ( แต่อย่าดูภาคไทย ) ให้ลดความตั้งใจอ่านซับให้ลดลง เปิดหูเพื่อการได้ยินมากขึ้น ตาของเราแทนที่จะโฟกัสไปที่บรรทัดล่างที่ซับขึ้น ให้โฟกัสไปที่ปากของตัวละครและพยายามฟังให้มากขึ้น อันไหนไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้เรื่องจริงค่อยเหลือบตาไปมองซับ สำหรับการฝึกแบบนี้จริงๆคือ ชิล อย่าไปเรียกว่าฝึก เพราะจริงๆแค่ปรับเปลี่ยนวิธีดูหนังซึ่งจะทำให้เราฟัง-พูดกับฝรั่งเก่งขึ้น 10-20%
-                   แบบที่สอง คือ สุดยอดเทคนิดการดูหนัง ที่เป็นการดูหนังเพื่อการฝึกภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง ถ้าทำ
ตามนี้ได้ คุณจะคุยกับฝรั่งได้ดีขึ้น 2 เท่าหรือ 200% เป็นอย่างต่ำ แน่นอนอันดับแรกเลือกหนังมาหนึ่งเรื่องหรือซีรี่ย์มาหนึ่ง ( เอาเรื่องที่ชอบมากๆรวมถึงเอาหนังสือของอเมริกันเท่านั้น จะได้ฝึกสำเนียงอเมริกาซึ้งเป็นสำเนียงมาตราฐานไปเลย ) และควรลงทุนซื้อเป็น DVD เลยไม่ควรดูผ่านเน็ต เพราะ DVD สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นซับไทย Eng หรือ No Sub ไปเลยก็ได้
                สุดยอดเทคเทคนิคการดูหนังมีทั้งหมด 3 ขึ้นด้วยกัน คือ ขั้นที่ 1 ดูแบบปกติดู 1 รอบ เป็นsound track มีซับภาษาไทย ดูเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่อง แต่ระหว่างดูนอกจากเปิดตา เพื่ออ่านซับแล้ว แนะนำให้เปิดหูให้มากขึ้น ลองพยายามฟังแล้วจับใจความว่าตัวละครพูดว่าอะไร แต่อย่าไปซีเรียสมาก ฟังไม่รู้เรื่องก็ช่างมัน เน้นเข้าใจเนื้อเรื่อง แต่ลองเป็นเรื่องที่ชอบจริงๆ อาจข้ามขั้นตอนนี้ไปก็ได้ ถ้าเรารู้เนื้อหาทั้งหมดแล้ว
                ขั้นที่ 2 หลังจากเราเข้าใจเรื่องราวแล้ว ดูขั้นที่ 2 จะเป็นการดูหนังโดยดูแบบ Sub Eng ครั้งนี้เราจะเน้นการฟัง ฟังแล้วฟัง ดวงตาจับจองที่ปากตัวละคร แล้วเปิดหูให้กว่าที่สุดใน3 โลก อย่าจดจ้องที่ซับ เพราะเราจะฝึกฟัง ไม่ได้ฝึกอ่าน พยายามฟังให้รู้ว่าตัวละครพูดอะไร ถ้าฟังไม่ออกจริงๆ ค่อยเหลือบดูซับ Eng ด้านล่าง แต่ถ้าดูไม่ทันก็ช่างมัน อย่าไปซีเรียส ชิลๆ เพลิดเพลินไปกับมัน พอดูจบก็ดูซ้ำแบบ Sub Eng เหมือนเดิมเลย ตาจับจ้องที่ปาก หูผึ่งตั้งใจฟัง ตรงไหนที่รอบก่อนฟังไม่ทัน ไม่รู้พูดว่าอะไร ก็ผึ่งหูมากขึ้นหน่อย ถ้าไม่ไหวจริงๆก็เหลือบมาดูซับได้ บางทีอาจจะต้องดูซ้ำ 5-10 รอบขึ้นไป
                สิ่งห้ามก็คือ  ห้ามเปิด Dictionary ห้ามแปล ศัพท์ไหนที่ไม่รู้ ไม่ต้องแปล ปล่อยมันไป ถ้าคุณฟังบ่อยมากพอจนฟังออกทั้งหมด ศัพท์ยากที่ไม่รู้คำแปล แต่คุณจะรู้ความหมายของมันเพราะคุณเข้าใจเนื้อเรื่องจริงๆแล้ว คุณพอจะเดาได้แบบอัตโนมัติว่าคำนี้ ว่าจะหมายถึงอะไร ประมาณไหน แต่ถ้าคุณอยากเรียนรู้คำศัพท์ เพิ่มศัพท์เข้าคลังสมองจริงๆคุณต้องใช้วิธีการเรียนรู้คำศัทพ์แบบเป็นระบบ
                ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่2 ต้องฟัง ฟัง แล้วก็ต้องฟังดูหนังเรื่องเดิมๆ ก็รอบก็ตามจนคุณฟังมันรู้เรื่องจนฟังรู้เรื่องทั้งหมด และมีกฎสองข้อให้ยึดมั่น ข้อแรกรายละเอียดตามที่กล่าวมาข้อสอง คำเดียวสั้นๆ คือ ชิล ฟังไม่ออกอย่าไปหัวเสีย ฟังไม่ออก รอบหน้าตั้งใจฟังใหม่ดูเอาสนุก เอามันส์กับหนังที่ตัวเองรัก
                ขั้นที่3 ที่เราดูหนังแบบไร้ซับ รอบแรกๆ ( 1- 2รอบ ) เราจะฟังแบบเป็นธรรมชาติและดูหนังเหมือนเราดูหนังไทยแบบปกติ เราจะรู้สึกสนุกกับมัน ถ้าเราฟังออกฟังไม่ทันหมด ว่าใครพูดอะไรยังไงบ้าง ดูชิลๆแบบพักผ่อน เน้นเชื่อมโยงความหมายกับคำศัพท์ หรือบางคำศัพท์หรือบาง idiom ที่เราไม่รู้ก็ซึมซับมันและพยายามคาดเดาความหมายตามบริบทของหนังโดยไม่ต้องเปิด dictionary
                ในรอบหลังๆจินตนาการว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือนางเอกของเรื่อง พอตัวเอกพูดจบท่อนนึงเรากด pause และฝึกพูดตามให้พยายามเลียนเสียงให้แป๊ะมากที่สุด ทำแบบนี้ทั้งเรื่อง พอเริ่มคล่อง รอบหลังให้ใส่ฟีลลิ่งไปด้วย ใส่ความหมายให้มันลงไปด้วย ให้นึกว่าตัวเองเป็นตัวเอกจริงๆ การดูหนังในขั้นตอนที่3 นี้จะ สิ้นสุดลง เมื่อเราเลียนเสียงได้คล่องได้เหมือนตัวละคร ที่เราเลียนแบบอย่างครบถ้วน
                ทำได้ตามนี้ แค่หนังเพียงเรื่องเดียว อาจจะใช้เวลาเยอะหน่อย กว่าจะดูจบทุกขั้นตอน สมมุติ 3 เดือน รับประกันได้เลยว่าผ่านไป3 เดือนนี้ไปแล้ว คุณจะรู้สึกว่าตัวเองฟัง-พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่า 10 ปี ที่เรียนภาษาอังกฤษมาแน่นอน ฟังดูเหมือนนาน แต่มันเฉพาะเรื่องแรกๆ เรื่องต่อไปจะใช้เวลาลดลงอาจจะ3เดือน เหลือ 1-2เดือน แล้วค่อยมาลงเรื่องต่อๆไป ผลลัพธ์สุดท้ายคุณจะดูหนังฝรั่งแบบไม่ต้องมีซับแล้ว ฟังออกและรู้เรื่องทั้งหมดวันนั้นแหล่ะคือวันที่คุณจะคุยกับฝรั่งได้โครตคล่อง อีกอย่างพยายามทำตามขั้นตอนของเราอย่าข้ามขั้น
                ใครอยากใช้วิธีนี้ อย่าลืมกฎเหล็ก เล็กๆน้อยๆนี้
ข้อ1 ห้ามแปล คือ ห้ามเปิด dictionary ห้ามแปลเป็นภาษาไทย เจอความหมายไหนไม่รู้พยายมเดาความหมายเรา
ข้อ2 “ชิล อย่าไปซีเรียส ฟังไม่ทันก็รอฟังรอบใหม่ พูดแรกๆยังเลียนเสียงไม่เหมือน ก็ไม่เป็นไร รอบหน้าเอาใหม่
ข้อ3 ต่อเนื่อง ไม่ใช่วันนี้ฝึกหายไป 2 สัปดาห์มาฝึกต่อ ไม่ได้ ถ้าจะเอาจริงต้องทำทุกวัน เว้นได้วันหรือสองวันถือว่าเยอะแล้ว


                จริงๆแล้วไม่อยากให้เรียกว่าการฝึก แต่อยากให้เป็นการเปลี่ยนวิธีการดูหนังมากกว่า เพราะหนังที่เลือกมาคือหนังที่รักพร้อมจะดูเป็นสิบรอบอยู่แล้ว เปลี่ยนความสนุกเป็นความรุกคืบเปลี่ยนการดูหนังชิลๆมาให้ชีวิตวิ่งปิ๋วมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น